Blog

มาทำความรู้จักกับ CEA

CEA ในที่นี้ย่อมาจาก Controlled-Environment Agriculture เป็นวิธีการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอย่างสมบูรณ์สำหรับการปลูกพืช ซึ่งบางครั้งหลายคนจะเรียกว่า “การทำฟาร์มในร่ม” หรือ “การทำฟาร์มแนวตั้ง” หรือเล่นกันเต็มยศก็ “การทำฟาร์มแนวตั้งในร่ม” ซึ่งก็ตามชื่อที่เรียกครับ มันก็การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและป้องกันไม่ให้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอก แล้วจัดเตรียมทุกสิ่งที่พืชต้องการในขั้นตอนการเจริญเติบโตต่างๆ ได้แก่ น้ำ อุณหภูมิ ระดับความชื้น การระบายอากาศ แสง และ CO2

เทคโนโลยีต่างๆ ได้รับการปรับปรุงและสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องเพื่อลดการใช้แรงงานคน เพิ่มประสิทธิภาพ และปรับปรุงปริมาณและคุณภาพของผลผลิต หากเราเป็นเกษตรกรหรือทำงานในอุตสาหกรรมการเกษตร เมื่อรวมกับแนวทางการทำฟาร์มที่มีอยู่แล้ว วิธีการปลูกแบบปฏิวัตินี้จะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำการเกษตรตลอดไป

ภายในโรงงานของ CEA เราจะเห็นการปลูกพืชภายใต้หลอดไฟ LED ที่มีระบบไฮโดรโปนิกส์ (หรืออะควาโปนิกส์) ซึ่งให้น้ำและสารอาหาร เครื่องทำความร้อน, เครื่องระบายอากาศ, เครื่องลดความชื้น, เพิ่มปริมาณ CO2, เครื่องเพิ่มความชื้นและเครื่องทำความเย็นถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต กลายเป็นระบบนิเวศขนาดเล็กที่มีการควบคุมอย่างดี หมายความว่าเราสามารถปลูกพืชได้ตลอดทั้งปี ปลอดภัยจากการปนเปื้อนจากภายนอก (รวมถึง E. coli) และใช้แสง UV เพื่อกำจัดแบคทีเรียได้

เมื่อเราสามารถขจัดความท้าทายที่มาพร้อมกับการทำฟาร์มแบบดั้งเดิมแล้ว ผลกระทบต่อผลผลิต การประหยัดต้นทุนในระยะยาว และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นสำคัญมาก เพราะสามารถลดการใช้เครื่องจักรหนัก ยาฆ่าแมลง สารกำจัดวัชพืช หรือปุ๋ยน้อยลงอย่างมาก และเราจะใช้น้ำน้อยลงอย่างมากด้วยโดยที่ CEA ช่วยให้เราสามารถผลิตพืชผลโดยใช้น้ำน้อยกว่าที่จำเป็นสำหรับการเพาะปลูกตามปกติถึง 70% ถึง 95%

นอกจากนี้การประหยัดที่ชัดเจนที่สุดคือการใช้ที่ดิน เมื่อพืชผลเรียงซ้อนกันในแนวตั้งภายในโรงงานที่สร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ เปรียบเทียบกับการปลูกกลางแจ้งเราจะสามารถผลิตได้มากกว่า 4-6 เท่าในปลูกในร่ม ตัวอย่างเช่น หากเรากำลังปลูกสตรอเบอร์รี่ การทำฟาร์มแบบดั้งเดิมจะต้องใช้พื้นที่ 10 ไร่จึงจะได้ผลผลิตเท่ากับพื้นที่เพาะปลูกแนวตั้ง 1 ไร่ (1,600 ตร.ม.) เพราะผลผลิตพืชผลที่นั้นสูงขึ้นกว่าปกติในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมเนื่องจากผลกระทบของฤดูกาลลดลง ทุกวันเป็นวันฤดูที่เหมาะสมสมบูรณ์แบบ โดยมีช่วงแสงที่นานพอที่จะทำให้เติบโตได้สูงสุด

แม้จะได้รับประโยชน์ที่ฟังดูเหมือนเป็นวิสัยทัศน์แห่งอนาคตอันไกลโพ้น แต่ CEA ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเครื่องมือสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตกัญชาทางการแพทย์ เครื่องสำอาง และอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ในขณะที่ประเทศต่างๆ ออกใบอนุญาตและผ่อนปรนกฎหมายมากขึ้น อุตสาหกรรมกัญชาก็พร้อมที่จะระเบิด โดยคาดว่าตลาด CBD (Cannabidiol) ของยุโรปจะเติบโตมากกว่า 400% จากปี 2564

กัญชาเป็นพืชที่มีมูลค่าสูงซึ่งต้องการสภาวะที่สม่ำเสมอและสมบูรณ์เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด วิธีการของ CEA ทำให้ระดับการควบคุมนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติ เพิ่มความสามารถในการปฏิบัติจริงและความสามารถในการทำกำไรของการปลูกกัญชาให้สูงสุด

นอกจากนี้ ดอกไม้ สมุนไพร และไมโครกรีนเหมาะอย่างยิ่งกับการจัดการแบบ CEA เนื่องจากสามารถเพิ่มพื้นที่ได้สูงสุด สิ่งนี้ได้ช่วยลดห่วงโซ่อุปทานและนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่สม่ำเสมอแก่ลูกค้าได้ตลอดทั้งปีซึ่งยากต่อการจัดหาในท้องถิ่นทั่วไป

อย่างไรก็ตามความท้าทายหลักในการนำ CEA มาใช้กับเกษตรกรแบบดั้งเดิมและระดับภูมิภาคคือการได้รับการสนับสนุนและความเชี่ยวชาญที่จำเป็นในการจัดตั้งโรงงาน ในปัจจุบันเราไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ CEA จากผู้ให้บริการรายเดียว มีทางเลือกมากมายในตลาด มีผู้ผลิตจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มีความเชี่ยวชาญในส่วนประกอบที่จำเป็นในการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม เช่น แสงหรืออุปกรณ์ควบคุมสิ่งแวดล้อม แทนที่จะพยายามซื้อโซลูชันแบบเบ็ดเสร็จ สิ่งนี้ทำให้ผู้ปลูกสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับความต้องการเฉพาะของตนเอง และเสนอศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการพัฒนาตลาดนี้

เช่นเดียวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นที่เข้าใจได้ว่าการรับ CEA อาจพบกับความสงสัย การลงทุนล่วงหน้าและความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจเป็นข้อกังวลอยู่ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ในระยะยาวสำหรับความหลากหลายของการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อแบ่งเบาภาระทางการเงินในการจัดตั้งโรงงาน การทำฟาร์มในร่มกำลังได้รับความสนใจจากซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก บริษัทยา และนักลงทุน แต่ที่สำคัญกว่านั้น อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการเพื่อช่วยเอาชนะความท้าทายด้านการจัดหาอาหารในอนาคตได้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรทั่วโลกด้วยรูปแบบสภาพอากาศที่รุนแรง ซึ่งรวมถึงน้ำท่วมและคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นทั้งความถี่และความรุนแรง นอกจากนี้ การพึ่งพาสารเคมีกำจัดวัชพืชและยาฆ่าแมลงที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่ทำให้เกษตรกรต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบนิเวศทางธรรมชาติและอินทรียวัตถุที่จำเป็นต่อการรักษาคุณภาพของดินด้วย

CEA สามารถช่วยดำเนินการในเชิงบวกเพื่อนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและให้ผลกำไรมากขึ้นโดยการลดการใช้น้ำ ความจำเป็นในการแทรกแซงทางเคมี โลจิสติกส์ และการใช้ที่ดิน ในความเป็นจริง เกษตรกรในซาอุดีอาระเบียกำลังใช้ CEA เพื่อปลูกพืชผลสดในที่ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในอุณหภูมิกลางแจ้งที่แผดเผาของประเทศ และเหมาะอย่างยิ่งเนื่องจากมีแสงแดดเพียงพอสำหรับพลังงานแสงอาทิตย์

ตามรายงานของ Boston Consulting Group (BCG) ประมาณ 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตทั่วโลกถูกทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ โดยส่วนใหญ่การสูญเสียนั้นเกิดขึ้นตามห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยรวมแล้วนั่นหมายถึงอาหาร 1.6 พันล้านตัน มูลค่าประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์

CEA ช่วยให้ผลิตผลที่ปลูกในท้องถิ่นออกสู่ตลาดได้รวดเร็ว ซึ่งสามารถซื้อและบริโภคได้ ณ ที่ที่ผลิต พร้อมความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับและความสมบูรณ์ที่ห่วงโซ่อุปทานอาหารต้องการ แทนที่จะส่งผลผลิตไปทั่วโลก เกษตรกรสามารถใช้ CEA เพื่อปลูกผลิตผลที่หลากหลายมากขึ้นในท้องถิ่น สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงผู้บริโภค นอกจากทางเลือกที่ดีกว่าของผลิตภัณฑ์แล้ว CEA ยังทำให้สามารถจัดส่งอาหารที่มีคุณภาพและปริมาณสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มสารกันบูดหรือสารเคลือบขี้ผึ้งเพื่อให้ผลิตผลสดพร้อมบริโภค

จากมุมมองด้านสิ่งแวดล้อม สถาบัน WorldWatch พบว่าระบบการกระจายอาหารแบบเดิมใช้ CO2 มากกว่าระบบในท้องถิ่นและระดับภูมิภาคถึง 4 ถึง 17 เท่า

nobitter

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *