Blog

ทิศทาง vertical farm หลัง 2022

ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เงินหลายพันล้านเหรียญได้ถูกลงทุนในบริษัทที่ออกแบบและสร้างฟาร์มสมัยใหม่ภายใต้สภาวะควบคุม เพราะมีความเชื่อว่านี่คือหนึ่งในนวัตกรรมที่จะนำพามาซึ่งความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ จากสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายขึ้น การเกษตรแบบเดิมๆ ที่คาดการณ์อะไรได้ยากขึ้น รวมไปถึงจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้น แต่แล้วในปี 2022 ที่ผ่านไป เราได้พบความจริงที่ว่า หลายบริษัทไปไม่รอดแล้ว เพราะบริษัทเทคโนโลยีด้านฟาร์มเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงมากเมื่อเทียบกับการปลูกกลางแจ้งทั่วไป โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตพลังงานที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน

Infarm ยูนิคอร์นจากเยอรมันต้องเลิกจ้างพนักงานไปครึ่งหนึ่งเพราะค่าไฟในยุโรปที่สูงขึ้นเป็นเท่าตัว AppHarvest โรงเรือนไฮเทคฝั่งอเมริกาที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2021 หุ้นร่วงไปกว่า 90% จากจุดสูงสุดและต้องขายบางส่วนให้ผู้จัดจำหน่ายอันมาจากปัญหาสภาพคล่องในการดำเนินการ ในขณะที่ Bowery Farming ฟาร์มสุดไฮเทคซึ่งได้รับการลงทุนจาก Google Ventures (GV) ก็ยืนยันว่า vertical farm เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินและต้องการเงินทุนตลอดเวลาเพื่อให้อยู่รอดได้

Agritecture บริษัทที่ปรึกษาด้านเกษตรในเมืองให้ข้อมูลว่า Indoor Vertical Farm ที่ต้องควบคุมสภาวะทุกอย่าง ตั้งแต่ แสง อุณหภูมิ ความชื้น และ CO2 อาจต้องใช้เงินสูงถึง $300 ต่อตารางฟุตในการดำเนินงานเมื่อเทียบกับการทำเกษตรแบบเดิมๆ ที่ใช้เงินเพียงไม่กี่ดอลลาร์ จึงทำให้การระดมทุนทำได้ยาก เพราะดูเหมือนจะไม่มีความเป็นไปได้ทางการเงินเลย(ในปัจจุบัน) มันดูเหมือนเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่ห่างไกล ดังนั้นจึงมีเพียงบริษัทใหญ่ไม่กี่บริษัทที่สามารถทำได้ เช่น Plenty Inc. บริษัท StartUp ที่ได้รับเงินลงทุนจาก Walmart และ SoftBank รอบ Series E ได้เงินไป $400 ล้านในช่วงมกราคม รวมทั้งหมดเป็นเงินทุนเกือบพันล้านดอลลาร์ GGV Capital กล่าวว่าความท้าทายในการลงทุนในธุรกิจนี้คือ มันไม่ใช่แค่ต้องการคนที่เก่งแต่ software เหมือน Digital StartUp อื่นๆ แต่บริษัทต้องสุดยอดทั้งด้าน หุ่นยนต์, วิทยาศาสตร์การเกษตร, และสถาปัตยกรรม มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะหาบริษัทที่ครบเครื่องในทุกด้าน และคงมีแค่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้

ผู้เชี่ยวชาญมองว่าฟาร์มแนวตั้งน่าจะเหมาะกับประเทศที่พลังงานยังมีราคาถูกและปลูกพืชภายนอกได้ยาก ที่ชัดเจนคือแถบตะวันออกกลาง ประเทศในสภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ ซึ่งประกอบไปด้วยซาอุดิอาระเบีย บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งนำเข้าผักถึง 56%

สำหรับ noBitter เราเป็นฟาร์มเล็กๆ ในประเทศไทย ซึ่งก็ไม่ได้มีความจำเป็น เร่งด่วนใดๆ ในการทำ Indoor Vertical Farm ถ้าพวกเราไม่ทำร้ายกันเองซะก่อนด้วยความโลภ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บ้านเราไม่ได้มีปัญหาสภาวะแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการปลูกพืช แต่เรามีปัญหาเรื่องการใช้ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ที่เป็นอันตรายซึ่งสุ่มตรวจทุกปีก็พบทุกปี เราอาจจะไม่ได้แก้ปัญหาความอดยากของโลกด้วยราคาของผักที่สูง แต่เราสามารถส่งมอบผักปลอดภัย คุณค่าทางอาหารสูงให้กับลูกค้าได้ตลอดทั้งปี ฝากเป็นกำลังใจให้พวกเราต่อด้วยนะครับ

nobitter

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *