Blog

Gartner Hype Cycle กับอุตสาหกรรม Vertical farm

ด้วยจำนวนประชากรโลกที่คาดว่าจะสูงถึง 10,000 ล้านคน ภายในปี 2593 (ค.ศ.2050) ประกอบกับจำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่ลดลงซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) และการขยายตัวของเมือง (urbanization) อุตสาหกรรมการเกษตรจึงเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ ฟาร์มแนวตั้ง (vertical farm) จึงได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาว่าจะเป็นทางออกที่เป็นไปได้หรือไม่?

การปลูกพืชในร่มภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมอย่างเต็มที่ในชั้นซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น การใช้แสงประดิษฐ์แทนแสงอาทิตย์ ทำให้ฟาร์มแนวตั้งสามารถปรับสภาพแวดล้อมการเจริญเติบโตให้ตรงตามความต้องการที่แท้จริงของพืชได้ เมื่อผสมผสานกับเทคนิคการปลูกพืชแบบไร้ดินและความหนาแน่นของการปลูกตามความสูงจากแผนผัง การทำฟาร์มแนวตั้งสามารถให้ผลผลิตสูงกว่าการทำการเกษตรทั่วไปหลายร้อยเท่า ตลอด 365 วันต่อปีและไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงด้วย

ผู้สนับสนุนการทำฟาร์มแนวตั้งจึงคิดว่าแนวทางนี้สามารถปฏิวัติการผลิตอาหารทั่วโลก อีกทั้งยังกำจัดระยะทางขนส่งอาหาร (food mile) โดยทำให้พืชผลเติบโตใกล้กับศูนย์กลางประชากรในเมือง เพราะปัจจุบันผักและผลไม้มักเดินทางเป็นระยะทางหลายพันไมล์กว่าจะไปถึงมือผู้บริโภค ทำให้สูญเสียความสดและคุณภาพระหว่างทาง และเพิ่มความเสี่ยงในการปนเปื้อน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไลล่าสุดจากผลิตผลที่ปนเปื้อนได้นำไปสู่การต้องนำตัวผู้ป่วยไปรักษาในโรงพยาบาลจำนวนมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิ่งนี้เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานเมื่อเร็วๆ นี้ซึ่งเกิดจากโรคระบาดและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ โดยเน้นย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนนี้ การทำฟาร์มแนวตั้งจะสามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้โดยการใช้ประโยชน์จากรูปแบบการผลิตสดแบบรวมศูนย์กลางสูง ในขณะที่ใช้ประโยชน์จากแนวโน้มของผู้บริโภคที่กว้างขึ้นต่อการผลิตในท้องถิ่น

อุตสาหกรรมการเกษตรแนวตั้งจึงได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมนี้ระดมทุนได้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2564 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดที่เกินการระดมทุนรวมกันที่สร้างขึ้นในปี 2561 และ 2562 ฟาร์มที่เป็นข่าวมากๆ คือ Plenty ฟาร์มแนวตั้งในแคลิฟอร์เนีย ที่ระดมทุนรวมได้กว่า 900 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนหลายแหล่งรวมถึง Walmart ยักษ์ใหญ่ด้านการค้าปลีกและ SoftBank Vision Fund

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากมาย ยกตัวอย่าง Fifth Season บริษัทสตาร์ทอัพด้านการเกษตรแนวตั้งของสหรัฐที่ใช้หุ่นยนต์ในการปลูกผักใบเขียวในร่มได้ปิดกิจการไปแล้ว ทั้งๆ ที่บริษัทนี้สามารถระดมทุนไปได้ถึง 35 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Agricool บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติฝรั่งเศสก่อตั้งในปีเดียวกันคือ 2558 ก็เข้าสู่กระบวนการพิทักษ์ทรัพย์สินหลังล้มละลายต้นปี 2565 เนื่องจากผลประกอบไม่ดีและไม่สามารถระดมทุนต่อได้ ทั้งๆ ที่ระดมทุนไปแล้วกว่า 30 ล้านยูโร และยังมี Glowfarms ในเนเธอร์แลนด์ได้หยุดกิจกรรมทั้งหมดหลังจากไม่สามารถหาเงินทุนได้เพียงพอเช่นกัน จึงจะเห็นได้ว่าเงินทุนเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินงานของอุตสาหกรรมนี้

ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าการทำฟาร์มแนวตั้งนั้นใกล้ถึงตำแหน่ง “Trough of Disillusionment” ใน Gartner Hype Cycle ซึ่งตามรายงานของบริษัทวิจัยอ้างว่า “ความสนใจลดลงเนื่องจากการทดลองและการนำไปใช้ล้มเหลว ผู้ผลิตเทคโนโลยีต่างๆ เริ่มสั่นคลอน การลงทุนจะดำเนินต่อไปก็ต่อเมื่อผู้ให้บริการที่ยังมีชีวิตรอดได้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของตนให้เป็นที่พอใจของผู้เริ่มใช้ในช่วงแรกๆ ได้”

อย่างไรก็ตาม การปิดตัวของหลายๆ บริษัทไม่ได้เป็นการสิ้นสุดการทำฟาร์มแนวตั้ง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาของการอภิปรายอย่างตรงไปตรงมาว่าอะไรที่ได้ผลและไม่ได้ผล ยกตัวอย่างเช่น

ประการแรก ระบบเหล่านี้มีราคาแพงมากในการสร้าง ตัวอย่างเช่น ระบบคอนเทนเนอร์ขนส่งที่พัฒนาโดย Freight Farms มีราคาระหว่าง 82,000 ถึง 85,000 ดอลลาร์ต่อตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่น่าอัศจรรย์สำหรับกล่องที่ปลูกผักและสมุนไพร ตู้คอนเทนเนอร์เพียงตู้เดียวมีราคาสูงเท่ากับฟาร์ม 10 เอเคอร์ของพื้นที่เกษตรกรรมชั้นนำของอเมริกา แต่พึงระลึกไว้ว่า พื้นที่เพาะปลูกโดยทั่วไปเพิ่มมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป ในขณะที่กล่องโลหะมักจะมีมูลค่าลดลงเท่านั้น

ประการที่สอง อาหารที่ผลิตด้วยวิธีนี้มีราคาแพงมาก ตัวอย่างเช่น Wall Street Journal รายงานว่าผักกาดหอมขนาดเล็กที่ปลูกโดย Green Line Growers มีราคาสูงกว่าผักกาดออร์แกนิกที่มีอยู่ในร้านค้าส่วนใหญ่ถึงสองเท่า และนี่เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ปลูกในร่มอื่นๆ มันแพงมาก แม้กระทั่งเมื่อเทียบกับอาหารออร์แกนิก แทนที่จะทำให้อาหารมีมากขึ้น โดยเฉพาะครอบครัวยากจนที่มีงบประมาณจำกัด พืชในร่มเหล่านี้มีให้เฉพาะผู้มีฐานะดีเท่านั้น มันอาจจะดีสำหรับผักกาดหอมหรือผักใบเขียวแฟนซีสำหรับร้านอาหารราคาแพง แต่คนทั่วไปอาจพบว่ามันไกลเกินเอื้อม

ประการสุดท้าย ฟาร์มในร่มใช้พลังงานและวัสดุจำนวนมากในการดำเนินการ ฟาร์มคอนเทนเนอร์จาก Freight Farms ใช้ไฟฟ้าประมาณ 80 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อวันเพื่อจ่ายไฟให้กับหลอดไฟและปั๊ม ซึ่งคิดเป็นเกือบ 2-3 เท่าของไฟฟ้าในบ้านของชาวอเมริกันทั่วไป หรือประมาณ 8 เท่าของไฟฟ้าที่อพาร์ทเมนต์ใน San Francisco ใช้โดยเฉลี่ย และโดยเฉลี่ยแล้วระบบจ่ายไฟฟ้าของอเมริกาหมายความว่าปล่อย CO2 44,000 ปอนด์ต่อตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี จากไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ไม่นับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการทำความร้อน ซึ่งมากกว่าปริมาณการปล่อยมลพิษที่ต้องใช้ในการขนส่งอาหารจากที่อื่น

แต่เดี๋ยวก่อน ฟาร์มในร่มใช้พลังงานหมุนเวียนไม่ได้หรือ? หลายคนมักคิดว่าเราสามารถชดเชยไฟฟ้าจำนวนมหาศาลที่ใช้ โดยการจ่ายพลังงานให้กับพวกมันด้วยพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะแผงโซลาร์เซลล์ ดังนั้นจึงมีคนใช้แผงโซลาร์เซลล์เพื่อเก็บเกี่ยวแสงแดดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้พวกมันสามารถผลิตพลังงาน…แสงอาทิตย์เทียมได้? กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเขากำลังพยายามใช้ดวงอาทิตย์เพื่อแทนที่ดวงอาทิตย์

กล่าวโดยสรุป ฟาร์มแนวตั้งมีทั้งประโยชน์มากมายและความท้าทายอีกหลายข้อให้แก้ไข มีผู้นำในอุตสาหกรรมที่ระดมทุนได้มหาศาลและพยายามวิจัยพัฒนาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอยู่ และก็มีหลายๆ ฟาร์มที่ไม่สามารถข้ามพ้นวิกฤตไปได้ก็ต้องปิดตัวลงไป พวกเราที่ noBitter ก็กำลังพยายามกันอย่างเต็มที่เพื่อความอยู่รอดและจะได้ทำตามแนวทางที่เราตั้งใจไว้ว่าจะส่งมอบผักปลอดภัยคุณค่าทางอาหารสูงให้กับทุกคนครับ ก็อย่าลืมมาช่วยกันอุดหนุนผลิตภัณฑ์จากทางฟาร์มเราด้วยนะครับ

nobitter

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *