noBitter ผู้บุกเบิกนวัตกรรมฟาร์มแนวตั้งเพื่อปฏิวัติวงการเกษตรไทย
บริษัท โนบิทเทอร์ จำกัด (noBitter) ผู้นำด้านนวัตกรรมการเกษตรแบบควบคุมสภาพแวดล้อม (Controlled-Environment Agriculture: CEA) มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีฟาร์มแนวตั้ง (Vertical Farming) เพื่อยกระดับมาตรฐานการเกษตรไทยสู่ระดับสากล ด้วยระบบที่ควบคุมปัจจัยสำคัญในการเพาะปลูก เช่น อุณหภูมิ ความชื้น การไหลเวียนของอากาศ แสง และน้ำ อย่างแม่นยำ
ที่มาของโครงการ
ด้วยการสนับสนุนทุนวิจัยจาก กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TEDFund) ในโครงการ “TED Market Scaling Up” โนบิทเทอร์ ได้ริเริ่มแนวคิดในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเกษตรสมัยใหม่ผ่านฟาร์มแนวตั้ง (Vertical farm) ทั้งนี้จึงเกิดความร่วมมือกับสถานศึกษาชั้นนำ ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดยการส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้เกษตรสมัยใหม่ผ่านการพัฒนาระบบปลูกขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง
การดำเนินโครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของโนบิทเทอร์ในการพัฒนานวัตกรรมการเกษตรและการสนับสนุนระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากโครงการนี้ ได้แก่ การพัฒนาระบบเพาะปลูกที่ปลอดภัย ลดการใช้สารเคมีที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนให้กับเกษตรกร และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร
ศาสตราจารย์ ดร.ประณัฐ โพธิยะราช คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การร่วมมือกับ noBitter เป็นโครงการที่มีความสำคัญในหลายมิติ ทั้งด้านการศึกษา การวิจัย และการพัฒนาภาคเกษตรกรรมของประเทศ
ในด้านการศึกษา โครงการนี้เปิดโอกาสให้นิสิตคณะวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้นวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ภายใต้แนวคิด Controlled-Environment Agriculture (CEA) โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการผลิตพืชเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นการต่อยอดความรู้จากห้องเรียนสู่การปฏิบัติจริง
ในด้านการวิจัย ระบบปลูกขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูงนี้ ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์ควบคุมสภาพแวดล้อมและซอฟต์แวร์บันทึกข้อมูลผลผลิตและของเสียในโรงเรือน ทำให้สามารถศึกษาวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับธาตุอาหารและสารอาหารเสริมในพืช ซึ่งมีความสำคัญโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค องค์ความรู้ที่ได้จะสามารถถ่ายทอดสู่ภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมอาหารของประเทศได้
ในด้านการพัฒนาภาคเกษตร เทคโนโลยีการปลูกพืชในโรงเรือนแบบปิดนี้จะช่วยแก้ปัญหาสำคัญสองประการ คือ ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และการระบาดของแมลงศัตรูพืช ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเพาะปลูกแบบเปิด
การใช้ระบบนี้จะช่วยให้เกษตรกรสามารถ:
1. ควบคุมการผลิตให้เป็นไปตามแผน
2. ผลิตพืชผักที่ปลอดสารเคมีกำจัดแมลงตามความต้องการของตลาด
3. แปรรูปผลผลิต เช่น ผักเคล เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคุณภาพสูง
ด้วยศักยภาพทั้งหมดนี้ โครงการจึงไม่เพียงส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรและการวิจัย แต่ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยในตลาดโลกอีกด้วย
อาจารย์มนตรี คงตระกูลเทียน คณบดีคณะเกษตรนวัตและการจัดการ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ให้ความเห็นว่าในการร่วมมือกับ noBitter ว่า
โอกาสและความคาดหวัง:
1. นักศึกษาจะได้เรียนรู้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ที่พัฒนาโดยคนไทย
2. มุ่งวิจัยและพัฒนาการผลิตพืชในระบบ Plant Factory ให้มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากขึ้น
3. ส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตพืชที่มีประสิทธิภาพ
ความยั่งยืนด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม:
1. ระบบปิดลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
2. ไม่ใช้สารเคมีอารักขาพืช ลดการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม
3. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพผลผลิต
4. ปรับปรุงคุณภาพชีวิตเกษตรกร
โมเดลธุรกิจและการสร้างรายได้:
1. กำหนดกลุ่มเป้าหมายการตลาด:
– ผู้บริโภคในประเทศที่มีกำลังซื้อสูง
– ลูกค้าต่างประเทศ
– ธุรกิจ B2B (Food Service, HoReCa, อุตสาหกรรมเภสัชและอาหาร)
2. มุ่งเน้นผลิตพืชอาหารและสมุนไพร
3. เพิ่มศักยภาพการส่งออก โดยในปี 2566 มูลค่าส่งออกสมุนไพรสูงถึง 56 พันล้านบาท
การพัฒนาระบบ Plant Factory นี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศไทย ด้วยการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน
รศ. ดร.สมยศ เกียรติวนิชวิไล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ให้ความคิดเห็นว่า ทิศทางการเกษตรของประเทศไทยกำลังมุ่งสู่การเกษตรแบบแม่นยำ (Precision Agriculture) ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยมีแนวโน้มสำคัญ 2 ประการ คือ:
1. เทคโนโลยีที่เข้ามาสนับสนุน
– ระบบ IoT เซนเซอร์ต่าง ๆ
– ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับวิเคราะห์ข้อมูล
– Big Data เพื่อการวางแผนการเกษตร
2. ระบบการเพาะปลูกสมัยใหม่
– Controlled Environment Agriculture (CEA)
– Vertical Farming
ประโยชน์ของระบบใหม่นี้ประกอบด้วย:
– เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตตลอดปี
– ลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก
– ประหยัดทรัพยากร (ลดการใช้น้ำถึง 90%)
– สามารถปลูกพืชมูลค่าสูง
– เพิ่มทักษะเทคโนโลยีให้เกษตรกร
การขยายผลสู่ระดับอุตสาหกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ได้ริเริ่มความร่วมมือกับภาคเอกชน (บริษัท noBitter) เพื่อพัฒนา Plant Factory และถ่ายทอดองค์ความรู้จากภาคทฤษฎีสู่การปฏิบัติ โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) ที่มีความรู้ เข้าใจเทคโนโลยี และสามารถสร้างนวัตกรรมทางการเกษตรเพื่อความยั่งยืนของประเทศ
จุดเด่นของโนบิทเทอร์
* นวัตกรรมที่คุ้มค่าการลงทุน: ใช้วัสดุคุณภาพจากท้องถิ่น ช่วยลดต้นทุนการลงทุนเริ่มต้น (Initial Investment) ให้เหมาะสมกับประเทศไทย
* เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: ระบบประหยัดพลังงานและทรัพยากร พร้อมสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน
* ความยืดหยุ่นในการใช้งาน: ออกแบบให้สามารถปรับขยายได้ตามความต้องการในอนาคต
* การสนับสนุนหลังการขาย: ให้คำปรึกษาและถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างครบวงจร
โซลูชันฟาร์มนวัตกรรมสำหรับทุกองค์กร
สถาบันการศึกษา
* มหาวิทยาลัย: สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีการเกษตร
* โรงเรียน: ส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการผ่านประสบการณ์จริง
หน่วยงานและองค์กร
* สถาบันวิจัย: รองรับการทดลองและพัฒนานวัตกรรมการเกษตร
* องค์กรภาครัฐ: สนับสนุนโครงการด้านความมั่นคงทางอาหาร
* ภาคเอกชน: เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ
ประโยชน์ที่ได้รับ
* ควบคุมคุณภาพผลผลิตได้อย่างแม่นยำ
* ปลูกพืชได้ตลอดทั้งปี ไม่ขึ้นกับฤดูกาล
* ลดการใช้สารเคมี เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
* เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสูงสุด
* ประหยัดทรัพยากรน้ำและพลังงาน
บริการของเรา
โนบิทเทอร์พร้อมให้บริการออกแบบและติดตั้งระบบฟาร์มนวัตกรรมแบบครบวงจร ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ เราพร้อมสร้างสรรค์โซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะขององค์กรคุณ
บริการของเราประกอบด้วย:
* การให้คำปรึกษาและวางแผนโครงการ
* การออกแบบระบบที่เหมาะสมกับพื้นที่และงบประมาณ
* การติดตั้งและทดสอบระบบ
* การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี
* การให้คำปรึกษาและสนับสนุนหลังการติดตั้ง
ติดต่อเรา
คุณวิลาส 081-742-9919
พร้อมยกระดับธุรกิจของคุณด้วยนวัตกรรมฟาร์มแนวตั้งจากโนบิทเทอร์ ติดต่อทีมงานของเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาและข้อเสนอที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณ