การทำการเกษตรแบบ CEA เป็นรูปแบบการทำเกษตรกรรมสมัยใหม่ที่ปลูกพืชในระบบปิดโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและพื้นที่ ส่งผลให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัด เช่น พื้นที่ในเมือง พื้นที่ที่มีสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย และพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติ
ประเด็นสิ่งแวดล้อม (Environment)
noBitter farm สามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้หลายประการ ดังนี้
- ใช้น้ำน้อย การเพาะปลูกในระบบปิด สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้อย่างแม่นยำ ทำให้สามารถลดการใช้น้ำได้อย่างมาก โดยเฉลี่ยแล้วเราสามารถใช้น้ำน้อยกว่าการเพาะปลูกแบบดั้งเดิมมากถึง 90%
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากไม่ต้องใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกมาก สาขาของเราตั้งอยู่ใกล้ผู้บริโภค จึงช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงในการเดินทางขนส่งผลผลิต
- ลดการใช้สารเคมี ด้วยการควบคุมการเข้าออก ทำให้สามารถไม่ต้องใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชและโรคพืชได้
ประเด็นสังคม (Social)
noBitter farm สามารถส่งเสริมความยั่งยืนทางสังคมได้หลายประการ ดังนี้
- สร้างงานและรายได้ให้กับชุมชน ธุรกิจเราเน้นการจ้างงานจากคนในพื้นที่ เพื่อสร้างงานและรายได้ให้กับชุมชน
- ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร การเพาะปลูกในระบบปิดสามารถลดความเสี่ยงด้านสภาพอากาศและโรคพืช ทำให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย
- ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร เพราะเราสามารถผลิตอาหารได้ตลอดทั้งปี โดยไม่จำกัดฤดูกาลหรือสภาพอากาศ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางอาหารได้
ประเด็นธรรมาภิบาล (Governance)
noBitter farm สามารถส่งเสริมธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจได้หลายประการ ดังนี้
- ยึดมั่นในหลักจริยธรรมและความถูกต้อง ธุรกิจเราใส่ใจกับธรรมภิบาลทั้งต่อคู่ค้า พันธมิตร พนักงาน ตลอดจนผู้บริโภค
- มีการบริหารจัดการที่ดี ธุรกิจเรามีการบริหารจัดการที่ดี เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
- มีการสื่อสารกับสาธารณะอย่างโปร่งใส ธุรกิจ เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการดำเนินงานของธุรกิจได้
กล่าวโดยสรุปคือ
noBitter เป็นธุรกิจที่คำนึงถึงประเด็น ESG ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมความยั่งยืนทางสังคม และยึดมั่นธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ เพื่อส่งเสริมมาตรฐาน และเป็นต้นแบบในการพัฒนาธุรกิจที่คำนึงถึง ESG ตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างแท้จริงต่อไป